Red Life ภาพยนตร์ไทยแนวดราม่า ที่สะท้อนสังคมความจริง และตีแผ่เรื่องราวจากการใช้ชีวิตมากมายของสาวขายบริการ ผ่านตัวละครในเรื่องที่มีชีวิตวัยรุ่นบนพื้นฐานของโลกทุนนิยม ที่ต้องปากกันตีนถีบหาเงินเลี้ยงชีวิตตัวเองในหนทางแบบผิดๆ กับประเด็นในเรื่องของความรักความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ที่จัดเต็มความเสื่อมโทรม มืดเทา และความดาร์คสะท้อนเรื่องจริงสุดสะเอียนใจ
สำหรับ เรดไลฟ์ เป็นเรื่องราวที่เล่าถึง เต๋อ (แสดงโดย แบงค์ ธิติ) โจรวิ่งราวที่หาเงินประทังชีวิตไปวันๆ ด้วยการปล้นวิ่งราวชาวบ้าน และหวังจะมาสร้างชีวิตใหม่กับ มายด์ (แสดงโดย จ๋อมแจ๋ม กานต์พิชชา) วัยรุ่นสาวผู้ขายบริการที่เต๋อเองก็รู้ว่าเธอทำอาชีพอะไร แต่ด้วยความรักจึงยิ่งพยายามพาชีวิตที่ลำบากไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น แต่เหมือนจะไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะยิ่งรักมายด์มากเท่าไร ก็ดูเหมือนจะยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ส้ม (แสดงโดย ซิดนีย์ พิชชา) ลูกสาวของโสเภณีข้างทางที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก ดันมาตกหลุมรักกับหนุ่มรุ่นพี่ไอดอลชื่อดังของโรงเรียนอย่าง พีช ผู้ที่มีปริศนาและเบื้องหลังต่างๆ มากมายที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน จนทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าการรักใครสักคนนั้นอาจจะต้องแลกมาด้วยเรื่องที่เธอไม่คาดว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้
ต้องบอกเลยว่าสำหรับเรื่อง Red Life น่าจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีกระแสวิจารณ์พอสมควร เกี่ยวกับความรุนแรงและ เนื้อหาที่ค่อนข้างเซ้นต์ซิทีฟและตรงไปตรงมากับสังคมปัจจุบันของเมืองไทย กับตัวละครที่ต้องอยู่ในสังคมเสื่อมโทรม ตามสลัมที่ไร้คนดูแล ซึ่งก็ตรงกับสภาพสังคมเมืองไทยในความเป็นจริงที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก แถมยังต้องมาทำงานใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำ ที่ซุกหัวนอนคือชุมชนแออัด เต็มไปด้วยผู้คนที่มีปัญหาชีวิต
เราจะได้รับชมความเหลื่อมล้ำทางสังคม และสภาพโลกของทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขาดแคลนด้านการเงิน การศึกษา ด้อยความรู้ จึงทำให้ไม่สามารถหารายได้ที่มั่นคงทำได้ จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานตามค่าแรงขั้นต่ำวนเวียนแบบนี้ทุกวัน ซึ่งตัวละครหลักของเราก็เป็นอีกหนึ่งคนในชุมชนที่มีสภาพชีวิตแบบนี้ และเราจะได้เห็นบรรยากาศหนังที่ตัวละครต้องใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบอย่างน่าหดหู่
ถึงแม้ว่าเรื่อง Red Life จะขายความเป็นอาชีพโสเภณี หรือ Sex Worker มาตั้งแต่ตัวอย่างภาพยนตร์แล้ว แต่เมื่อมาติดตามเรื่องราวจริงๆเราจะพบว่าหนังไม่ได้ลงรายละเอียดของอาชีพนี้มากขนาดนั้น แต่เหมือนว่าแค่นำมาเป็นพล็อตหลักให้หัวโขนให้กับตัวละครเท่านั้นเอง น่าเสียดายที่ควรจะเล่าเรื่องผ่านดีเทลอย่างปัญหาชีวิตประจำวันที่ต้องเจอ การไม่ถูกยอรับจากสังคม และอีกมากมาย ซึ่งหากเอาประเด็นพวกนี้มาได้น่าจะยิ่งดราม่าเข้าไปอีก
ดูเหมือนว่าการใช้อาชีพโสเภณีของหนังเรื่องนี้จะมาใช้ตีแผ่ในเรื่องของประเด็นความรักระหว่างคู่รักอย่างเต๋อกับมายด์มากกว่า เราจะเห็นความสำคัญของโจรวัยรุ่นกระจอกๆ กับโสเภณีสาวที่แม้จะรักกันอย่างเดียวแต่ก็คงไม่พอ เพราะอุปสรรคทางสังคมและการใช้ชีวิตต่างหากคือเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือความเรียลในแบบโลกไม่สวย ของหนังเรื่องนี้ที่สื่อถึงผูชม
มาที่อีกฝั่งนึง หนังก็ได้ตีแผ่อาชีพโสเภณีในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าเห็นใจเหมือนกัน อย่างการที่ตัวละครเด็กน้อยวัยรุ่นอย่าง ส้ม ที่มีแม่เป็นโสเภณี และเราจะได้เห็นว่าเธอโชคดีแค่ไหนที่มีแม่รักเธอได้มากขนาดนี้ การเลี้ยงลูกแบบยอมทำทุกอย่างเพื่อผลักดันให้ลูกตัวเองได้มีอนาคตที่ดี ถึงแม้ว่าตัวเองจะต้องแลกด้วยศักดิ์ศรีและความเป็นคนไปจนป่นปี้ก็ตาม แต่ในฐานะคนเป็นลูกอย่างส้มเอง ก็ดันมาเจอกับรุ่นพี่ในโรงเรียน จนเกิดเป็นปมความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนว่าจะซับซ้อนมากกว่าที่เห็น ช่วยเพิ่มความลึกลับให้กับเรื่องราวชวนติดตามมากยิ่งขึ้น
ในพาร์ทของการแสดง ถือว่าการออกแบบคาแรคเตอร์และตัวนักแสดงทำออกมาได้ค่อนข้างเหมาะสม อย่างการเลือกแบงค์ธิติที่มารับบทเป็นเต๋อ ก็ถือว่าน่าชื่นชมที่สามารถเล่นกับอารมณ์ของตัวละครได้อย่างเข้ากัน เราจะได้เห็นว่าหากชีวิตเขามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ผลลัพธ์ของเขาก็คงไม่เป็นแบบนี้ หรือตัวละครอย่างมายด์ ที่พล็อตและบทดีมากๆ แต่ด้วยภาพลักษณ์และคาแรคเตอร์ก็ดูพอจะไปในแนวทางเดียวกันได้ แต่รู้สึกว่ากลับส่ง ความรู้สึกถึงความเรียลไม่ถึงสักเท่าไร
งานภาพและโปรดักชั่นต่างๆ ของเรื่องนั้นถือว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก เราจะเห็นการคุมแสงสี และมู้ดโทนของหนัง ออกมาได้อย่างเข้ากันกับบรรยากาศเรื่องที่สุดแล้ว มีความดาร์คแบบมืดหม่น บวกกับโลเคชั่นของตัวละครที่ต้องอยู่ในสลัมแออัด ตรงนี้รู้สึกว่าทำได้เหมือนจริงและเรียลมากๆ แถมยังมีซีนอารมณ์ที่ให้เราได้เห็นอริยบทของแต่ละตัวละครอย่างเข้มข้น เข้าถึงอารมณ์มากๆ ต้องชื่นชมด้านผู้กำกับที่สามารถ วางแนวทางออกมาให้กลิ่นอายและบรรยากาศของเรื่องออกมาได้ตรึงเครียดและกดดันกับสภาพชีวิตและความดราม่าแบบนี้
สำหรับโดยรวม RedLife เรดไลฟ์ น่าจะเป็นภาพยนตร์ไทยอีกหนึ่งเรื่องที่สะท้อนสังคมออกมาได้อย่างเจ็บแสบ มีความเรียลของคุณภาพชีวิตและความเหลื่อมล้ำทางสังคมจริงๆ ความรักและความสัมพันธ์ของตัวละครที่รู้สึกว่า ทุกชีวิตต่างก็มีปัญหาที่เข้ามา มีความดราม่าในแต่ละเส้นทางการเดินทางของชีวิต ดังนั้นเราจึงได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของสังคมเมืองไทยที่น่าจะมีอยู่จริงผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่จะถูกจริตหรือชื่นชอบหรือไม่นั้น คุณต้องลองไปตัดสินใจรับชมกันด้วยตัวเอง